เคล็ดลับการชาร์จไฟและถนอมแบตมือถือ/แท็บเลท อย่างถูกวิธี
เคล็ดลับที่หลายคนไม่รู้ เกี่ยวกับการชาร์จไฟและถนอมแบต "มือถือ / แท็บเลท" อย่างถูกวิธี
ก่อนอื่น เราต้องมาทำความรู้จักกับแบตเตอรี่ในมือถือและแท๊บเลทกันก่อน โดยแบตเตอรี่ในมือถือและแท๊บเลทส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้น จะเป็นแบบ Li-ion และ Li-Polymer ทั้งสองแบบมีลักษณะการทำงานในลักษณะ "นับรอบการชาร์จ (Cycle)" แต่ไม่ได้นับเป็นจำนวนครั้ง
โดยแรงดันในการชาร์จจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ก็คือ
1C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ มากกว่า 65 - 70%,
2C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ 35 - 60% และ
3C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานต่ำกว่า 30% (เดี๋ยวค่อยไปดูกันว่าควรชาร์จช่วงไหน)
ไม่เหมือนกับแบตในสมัยก่อนจำพวก Ni-Cad ที่จะนับเป็นจำนวนครั้งในการชาร์จเลย ดังที่เราจะได้ยินกันบ่อยๆ ว่า "ซื้อไปแล้วต้องชาร์จทิ้งไว้ 12 - 14 ชั่วโมง พอเต็มแล้วก็ใช้ให้หมดเกลี้ยงด้วย" เนื่องด้วยความที่มันนับเป็นจำนวนครั้ง ดังนั้น ยิ่งชาร์จบ่อยๆ Cycle มันก็จะเยอะ แบตก็จะเสื่อมเร็วตามมา เอาให้เข้าใจคร่าวๆ กันประมาณนี้ คงไม่เจาะลึกลงไปถึงชั้นวัตถุดิบในการทำ
**แต่ไม่ว่าจะเป็นแบตชนิดใดในโลก ถึงแม้จะปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งานประมาณ 3 - 5 ปี ก็ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (ตามคุณภาพแบต) อันเนื่องมาจากแบตมันปล่อยประจุตัวเองออกจนหมด และสารเคมีในแบตเสื่อมประสิทธิภาพ แต่ถ้าใช้ไม่ถูกวิธี มันก็จะยิ่งเสื่อมเร็วขึ้นไปอีกนั่นเอง ^^
โดยแรงดันในการชาร์จจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ก็คือ
1C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ มากกว่า 65 - 70%,
2C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ 35 - 60% และ
3C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานต่ำกว่า 30% (เดี๋ยวค่อยไปดูกันว่าควรชาร์จช่วงไหน)
ไม่เหมือนกับแบตในสมัยก่อนจำพวก Ni-Cad ที่จะนับเป็นจำนวนครั้งในการชาร์จเลย ดังที่เราจะได้ยินกันบ่อยๆ ว่า "ซื้อไปแล้วต้องชาร์จทิ้งไว้ 12 - 14 ชั่วโมง พอเต็มแล้วก็ใช้ให้หมดเกลี้ยงด้วย" เนื่องด้วยความที่มันนับเป็นจำนวนครั้ง ดังนั้น ยิ่งชาร์จบ่อยๆ Cycle มันก็จะเยอะ แบตก็จะเสื่อมเร็วตามมา เอาให้เข้าใจคร่าวๆ กันประมาณนี้ คงไม่เจาะลึกลงไปถึงชั้นวัตถุดิบในการทำ
**แต่ไม่ว่าจะเป็นแบตชนิดใดในโลก ถึงแม้จะปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งานประมาณ 3 - 5 ปี ก็ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (ตามคุณภาพแบต) อันเนื่องมาจากแบตมันปล่อยประจุตัวเองออกจนหมด และสารเคมีในแบตเสื่อมประสิทธิภาพ แต่ถ้าใช้ไม่ถูกวิธี มันก็จะยิ่งเสื่อมเร็วขึ้นไปอีกนั่นเอง ^^
วิธีที่จะทำให้แบตไม่เสื่อมเร็ว
เมื่อพวกเราได้รู้จักกับแบตเตอรี่ชนิดต่างๆ กันไปแล้ว ต่อไปเรามาดูกันว่า เราจะถนอมแบตและชาร์จแบตอย่างไรให้ถูกวิธีกันดีกว่า (จะบอกเฉพาะแบตเตอรี่ชนิด Li-ion และ Li-Polymer เท่านั้น เพราะเป็นแบตที่ใช้กันอยู่ในมือถือและแท็บเลทในปัจจุบันอยู่แล้ว)
1. ควรชาร์จไฟก็ต่อเมื่อระดับแบตเตอรี่อยู่ที่ 65-70% (1C) จะดีที่สุด แต่การใช้งานจริงคงจะได้ระดับ 35-60% (2C) ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ ซึ่งจากผลการทดสอบจากต่างประเทศ ได้ระบุว่า หากชาร์จแบตเตอรี่ที่ระดับ 3C จะสามารถชาร์จได้ประมาณ 300 รอบ (Cycle) แต่หากเราชาร์จที่ระดับ 1C และ 2C จะสามารถชาร์จได้มากกว่า 400-500 รอบ (Cycle) "ดังนั้นไม่ควรชาร์จในขณะที่แบตต่ำกว่า 30% นั่นเอง เพราะมันจะเสื่อมเร็ว"
2. จะชาร์จเมื่อไรก็ชาร์จไป (ตามข้อที่ 1) แต่ห้ามใช้แบตจนหมดเกลี้ยงในระดับเปิดเครื่องไม่ติด (แบตเหลือ 0%) โดยเด็ดขาด เพราะแบตมันจะพังไวมาก!!
เมื่อพวกเราได้รู้จักกับแบตเตอรี่ชนิดต่างๆ กันไปแล้ว ต่อไปเรามาดูกันว่า เราจะถนอมแบตและชาร์จแบตอย่างไรให้ถูกวิธีกันดีกว่า (จะบอกเฉพาะแบตเตอรี่ชนิด Li-ion และ Li-Polymer เท่านั้น เพราะเป็นแบตที่ใช้กันอยู่ในมือถือและแท็บเลทในปัจจุบันอยู่แล้ว)
1. ควรชาร์จไฟก็ต่อเมื่อระดับแบตเตอรี่อยู่ที่ 65-70% (1C) จะดีที่สุด แต่การใช้งานจริงคงจะได้ระดับ 35-60% (2C) ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ ซึ่งจากผลการทดสอบจากต่างประเทศ ได้ระบุว่า หากชาร์จแบตเตอรี่ที่ระดับ 3C จะสามารถชาร์จได้ประมาณ 300 รอบ (Cycle) แต่หากเราชาร์จที่ระดับ 1C และ 2C จะสามารถชาร์จได้มากกว่า 400-500 รอบ (Cycle) "ดังนั้นไม่ควรชาร์จในขณะที่แบตต่ำกว่า 30% นั่นเอง เพราะมันจะเสื่อมเร็ว"
2. จะชาร์จเมื่อไรก็ชาร์จไป (ตามข้อที่ 1) แต่ห้ามใช้แบตจนหมดเกลี้ยงในระดับเปิดเครื่องไม่ติด (แบตเหลือ 0%) โดยเด็ดขาด เพราะแบตมันจะพังไวมาก!!
3. ถ้าหากไม่ได้ใช้มือถือเป็นเวลานาน และแบตเตอรี่สามารถถอดออกมาได้ ควรถอดแบตเตอรี่เก็บไว้ในขณะที่มีประจุประมาณ 40% และควรที่จะเก็บเอาไว้ในที่เย็น และไม่มีความชื้น โดยค่า 40% นั้น เป็นตัวเลขที่มาจากห้องทดลองเลยทีเดียว
4. มือถือและแท๊บเลทในปัจจุบันนั้น มีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จแบตจนเต็ม 100% และมันจะต่อไฟตรงเหมือนกับที่เราเห็นมันขึ้นเป็นรูปสายไฟแทนฟ้าผ่านั่นแหละ แต่ถ้าหากแบตมันลดลงเพียง 1% มันก็จะชาร์จใหม่ ดังจะเห็นว่า ไม่ว่าเราจะเล่นเกมส์หนักหน่วงขนาดไหนในขณะที่ชาร์จ มันก็จะเต็มตลอด (ไม่เหมือนโน๊ตบุ๊คที่จะตัดไฟเมื่อแบตเต็ม และชาร์จใหม่เมื่อแบตลดลงเหลือ 90%) ซึ่งจะทำให้เราสูญเสียรอบการชาร์จไปโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น เมื่อเราชาร์จเสร็จก็ควรถอดปลั๊กเพื่อนำมาใช้งาน และเมื่อถึงระดับ 35-70% ค่อยนำกลับไปชาร์จใหม่จะดีที่สุด
5. ควรใช้ที่ชาร์จที่มีคุณภาพ และหลีกเลี่ยงที่ชาร์จปลอม เพราะอาจจะทำให้จ่ายไฟไม่นิ่งได้ และสิ่งที่หลายคนนั้นมองข้ามไปนั่นก็คือ สายไฟที่เราใช้ชาร์จนั่นเอง ก็ควรที่จะเป็นสายที่มีคุณภาพในการนำไฟฟ้าได้ดีในระดับหนึ่งเหมือนกัน (เช่น สาย micro-USB ของ Nokia ที่ทั้งถึก ทน และไม่เคยมีปัญหาการใช้งานเลย)
6. หลีกเลี่ยงการทำแบตเตอรี่ตกพื้น เพราะอาจจะทำให้สารเคมีในแบตรั่วไหล หรือขั้วแบตอาจจะหลุดออกมาก็เป็นได้ ซึ่งจะส่งผลให้จ่ายไฟไม่นิ่ง และการใช้งานกับตัวเครื่องมือถือหรือแท๊บเลทมีปัญหาได้
7. เวลาชาร์จควรเสียบที่ชาร์จกับปลั๊กไฟก่อน แล้วค่อยเอาหัวชาร์จมาเสียบกับมือถือ/แท็บเลทอีกที เพื่อป้องกันไฟกระชาก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ต้องไปซีเรียสมาก อุปกรณ์เหล่านี้มันเกิดมาเพื่อให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้น ไม่ใช่มาเป็นภาระของเรา ส่วนตัวแล้ว ถ้าไม่ลืมก็พยายามทำ แต่ถ้าลืมก็ปล่อยมันไปเถอะ ไม่ต้องซีเรียส ยังไงวันนึงมันก็จากเราไปอยู่ดี เพียงแค่ถ้ารู้วิธีหน่อยมันก็จะอยู่กับเรานานขึ้นเท่านั้นเอง ^^
บทความนี้สามารถเอาไปใช้กับอะไรได้บ้างนอกจากมือถือและแท๊บเลท
สามารถเอาไปใช้ได้กับอุปกรณ์ที่ต้องใช้แบตเตอรี่ชนิด Li-ion และ Li-Polymer เช่น โน๊ตบุ๊คทั้งหลาย , GPS บางรุ่น , กล้องถ่ายรูปบางรุ่น, เครื่องเล่นเกมส์พกพาอย่าง Sony PSP, Sony PS Vita, Nintendo NDS, Nintendo 3DS
ที่มา..http://www.tukkaeit.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น